บทที่ 19 สารภาพความจริง
เช้าวันนี้ทุกคนช่วยกันรดน้ำพืชผักวัวสองตัวทำหน้าที่บรรทุกน้ำจากลำธารโดยที่เฟยจินเป็นคนบังคับเกวียน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินแบกน้ำจากลำธาร ตอนนี้น้ำในบ่อที่ขุดเอาไว้มีน้ำประมาณครึ่งบ่อและคาดว่าอีกสองวันน้ำคงจะเต็มบ่อและฉีหลินจะทำการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำในบ่อให้เป็นน้ำที่มีพลังวิญญาณ
หลังจากรดน้ำพืชผักที่ปลูกเอาไว้เสร็จแล้วก็ได้เวลามื้อเช้า เช้านี้ ฉีหลินทำข้าวต้มปลาเปลือกแข็ง และมีน้ำแกงปลา ผัดผักป่า หลังมื้ออาหารเช้านางตั้งใจจะเข้าป่าล่าสัตว์ โดยที่นางจะพาเสี่ยวหลางไปด้วย
“ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดี๋ยวข้าและหลินเอ๋อร์จะเข้าป่านะขอรับ จะได้มีเนื้อเอามาเก็บไว้กินหรือไม่ก็นำไปขายบ้านเรายังต้องใช้เงินอีกเยอะ”
“มันจะดีหรือลูก มันอันตรายแม่ว่าเราหาอย่างอื่นทำดีหรือไม่ หากเจ้าสองคนเป็นอะไรไปอีกแม่จะทำยังไง ลูก ๆ ของพวกเจ้าจะอยู่ยังไง”
นางฟางรีบพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเพราะเหตุการณ์ที่ลูกชายลูกสะใภ้บาดเจ็บในตอนนั้นติดอยู่ในใจนางตลอดมา ถึงจะยากจนหน่อยแต่ก็ยังพอปลูกพืชผักออกมาขายได้นางจึงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นไม่ว่ากับใคร ก็ตาม
“ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะพาเสี่ยวหลางไปด้วยพวกเราไม่ได้เข้าป่าลึกเจ้าค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นแม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ลูกบอกว่าไม่เป็นไรนั่นย่อมหมายถึงว่าพวกเขาคิดมาดีแล้ว เราเองอยู่ที่บ้านก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ เจ้าไม่ต้องวิตกกังวลให้มากนัก แค่เชื่อใจพวกเขาก็พอ” เทียนฉีเอ่ยห้ามปรามภรรยา
“เจ้าค่ะท่านพี่” นางฟางกล่าวออกมาด้วยความไม่เต็มใจ
ข่าวการย้ายบ้านของตระกูลหยางเข้ามาอยู่ที่ชายป่าหมอกแถมยังซื้อที่ดินเพิ่มอีกนับ 100 หมู่ ดังไปทั่วหมู่บ้านป่าหมอกบางคนก็พูดว่าพวกเขาเป็นพวกไม่รักชีวิตไม่กลัวตายบ้าง บางคนก็ว่าพวกเขามีวิชาติดตัวเลยไม่กลัวสัตว์ป่า บางคนก็ว่าพวกเขาอาจจะเป็นนายพรานที่เก่งกาจก็ได้
แต่ไม่ว่าคนในหมู่บ้านจะพูดอะไรก็ไม่มีผลอะไรกับคนบ้านหยาง พวกเขาทุกคนยังใช้ชีวิตด้วยความสุขเช่นเคยกับบ้านหลังใหม่ที่ดินทำกิน ผืนใหญ่และไม่ต้องคอยดูสีหน้าใคร
สองสามีภรรยาเตรียมตัวเข้าป่าโดยครั้งนี้เสี่ยวหลางจะตามเข้าไปด้วย ส่วนเด็กน้อยทั้งสองถึงแม้วันนี้จะขาดเพื่อนเล่นไปบ้างแต่เล่นกับ เสี่ยวเฮยเสี่ยวหู่ก็สนุกไม่น้อยเพื่อหมูย่างที่ตัวเองอยากกิน จึงต้องยอมให้ เสี่ยวหลางเข้าป่าไปกับท่านพ่อท่านแม่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” เฉิงเอ๋อร์
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เสี่ยวหลาง อย่าลืมหมูของข้านะขอรับ” เจี้ยนเอ๋อร์
“เอาล่ะ ๆ พ่อรู้แล้ว พวกเจ้ากลับเข้าบ้านได้แล้ว และอย่าดื้อกับท่านย่าเข้าใจหรือไม่พ่อกับแม่จะรีบกลับมา”
“ขอรับท่านพ่อ”
“เราเองก็ไปกันเถอะหลินเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ไปกันเถอะเสี่ยวหลาง”
จากนั้นทั้งสองคนและหนึ่งตัวเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าเข้าป่าหมอกไปทันที คนงานที่ทำการสร้างบ้านอยู่หันไปมองสองสามีภรรยาและหนึ่งหมาเดินหายเข้าไปในป่าหมอกอย่างหวาดกลัว
“ทำไมทั้งสองคนถึงกล้าเข้าไปในป่าหมอก ไม่กลัวกันหรือยังไง”
“เจ้าว่าคนที่กล้ามาสร้างบ้านอยู่ติดกับชายป่าหมอกแบบนี้ยังจะมีความกลัวอยู่อีกหรือ รีบ ๆ ทำงานได้แล้ว” นายช่างรีบพูดขึ้นมาก่อนที่คนงานของเขาจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปมากกว่านี้
เดินลึกเข้ามาในป่าเฟยเทียนเองก็อยากสารภาพความลับของเขา ที่เขาเองปกปิดเอาไว้ในตอนนี้กับภรรยา แต่เขาเองก็กลัวว่านางจะเสียใจถึงท่านเทพจะใจดีพาเขามาส่งคืนแถมยังให้ความสามารถเขามานิด ๆ หน่อย ๆ และยังบอกกับเขาอีกว่าต่อไปภรรยาของเขาจะพาเขานำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัว
ความสามารถนิดหน่อยที่เขาได้รับมานั้นไม่มีอะไรมากเพียงแต่ตอนนี้พลังกายของเขาไม่เหมือนเดิมเขามีสิ่งที่เรียกว่าลมปราณและสามารถฝึกมันได้และเขายังมีพลังธาตุด้วยเช่นกัน แต่มันจะไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ ท่านเทพบอกกับเขาว่า
เมื่อถึงกาลเวลาที่เกิดการผลัดเปลี่ยนต่อไปทุกคนจะกลายเป็นคนที่มีปราณและพลังธาตุแล้วแต่ใครจะมีธาตุอะไรส่วนจะสามารถฝึกได้มากน้อย แค่ไหนแล้วแต่สวรรค์จะลิขิตให้แต่ละคนท่านเทพเองไม่สามารถบอกได้เช่นเดียวกัน
อีกไม่นานจะถึงยุคผลัดเปลี่ยนคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ เขาเองเมื่อถึงตอนนั้นก็จะต้องแข็งแกร่งพอที่จะดูแลปกป้องครอบครัวและ คนที่เขารักเอาไว้ให้ได้
เขาเองก็อึดอัดใจที่จะต้องปกปิดเช่นนี้ในตอนที่เขาตกลงมาจากหลังคาบ้านของเศรษฐีนั้นและเขาได้เสียชีวิตลงตั้งแต่วันที่ป้าสะใภ้ยึดเอาเงินที่เศรษฐีจ่ายมาให้เป็นค่ารักษาแต่นางกลับยึดเอาเงินของเขาไปและอนุญาตให้ท่านแม่เพียงแค่ต้มยาสมุนไพรที่มีในบ้านเท่านั้นและในกลางดึกเขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้ตายลงไปทั้งที่ใจไม่ยินยอมและในเวลาต่อมาเขาก็ฟื้นขึ้นจากความตาย
“ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะ”
“หือ มีอะไรหลินเอ๋อร์ ทำไมเรียกพี่เสียงดังขนาดนั้น”
“ข้าเรียกท่านตั้งนานแล้ว แต่ท่านพี่มัวแต่เหม่อลอย ท่านพี่คิดอันใดอยู่เจ้าคะมีอะไรที่ไม่สบายใจหรือไม่”
“ไม่มี ไม่มี เจ้าอย่าคิดมากเลยพี่เพียงแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“ถ้าหากท่านพี่มีอะไรไม่สบายใจก็สามารถบอกกับข้าได้ทุกเรื่องนะเจ้าคะ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เห็นท่านเป็นแบบนี้ข้าเองก็ไม่สบายใจ เจ้าค่ะ ข้าสังเกตท่านพี่มาหลายวันแล้วท่านมีอะไรในใจก็พูดออกมาเถอะ เจ้าค่ะ หรือว่าท่านมีอะไรที่ปกปิดอยู่เช่นนั้นหรือเจ้าคะ ท่านสามารถพูดออกมาให้ข้าฟังได้ แต่หากท่านพี่ไม่อยากพูดข้าเองก็ไม่บังคับเจ้าค่ะ ข้าทำได้เพียงแค่เป็นห่วงและหวังดีกับท่านอย่างจริงใจเท่านั้น”
หลังจากที่นางพูดจบก็เดินตามเสี่ยวหลางที่วิ่งนำหน้าออกไปทันที ทิ้งให้เฟยเทียนที่ยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเขาได้แต่มองตามหลังนางอย่างโง่งม นี่เขาทำให้ภรรยาเข้าใจผิดแล้วแน่ ๆ นางถึงได้เอ่ยวาจาตัดพ้อออกมาเช่นนั้น
“หลินเอ๋อร์เจ้ารอพี่ก่อน พี่ไม่มีอะไรจะปกปิดเจ้าหรอกเจ้าอย่าเข้าใจผิดไปแบบนั้น” เฟยเทียนเริ่มลนลาน
“ข้าเองก็ไม่ได้ว่าอันใด และข้าไม่ได้เข้าใจอันใดผิดเจ้าค่ะ”
“พี่เองก็อึดอัดที่จะต้องเป็นแบบนี้พี่เองก็กลัวหากว่าพี่พูดออกมา จะทำให้เจ้าเสียใจและทำให้ท่านพ่อท่านแม่และน้อง ๆ เสียใจ”
“เสียใจ? มีอะไรที่ทำให้ท่านพี่คิดว่าพวกเราทุกคนในครอบครัวจะต้องเสียใจ หรือว่าท่านพี่ไปทำเลวเอาไว้ ตอนที่เข้าไปทำงานในเมืองท่านมีเมียอีกคนใช่หรือไม่ หากว่าใช่ตอนนี้ท่านหายแล้วท่านเลยอยากจะกลับไปหานางเช่นนั้นหรือ ที่ท่านกลัวท่านพ่อและทุกคนจะเสียใจเพราะกฎบ้านที่ ท่านพ่อตั้งขึ้นมาว่าตระกูลหยางสามีแต่งงานมีผัวเดียวเมียเดียวเช่นนั้นหรือเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้นข้ายินดีที่จะหย่าขาดจากท่านและเป็นคนไปเองเจ้าค่ะ ลูก ๆ ข้าสามารถเลี้ยงดูพวกเขาได้”
“หยุด หยุด ๆ เจ้าคิดไปถึงไหน พี่จะไปมีเมียได้ยังไง เมียพี่ก็มีแค่เจ้า อย่าคิดอะไรเลยเถิดไปปานนั้น พี่ไม่เคยนอกใจนอกกายเจ้าเลยสักครั้ง”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันท่านพี่ก็พูดมันออกมาสิเจ้าคะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรพวกเราทุกคนพร้อมอยู่เคียงข้างท่าน”
“เฮ้อ เจ้าเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่หรือเปล่า”
ฉีหลินที่ได้ยินสามีถามออกมาแบบนั้นนางเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน อย่าบอกนะว่าอีตานี่ก็ทะลุมิติมาเข้าร่างของตัวเองเหมือนกับนางนี่มันจะแฟนตาซีเกินไปหน่อยไหม
“เชื่อเจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านพี่จะบอกว่าท่านพี่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาหรือเจ้าคะ”
“อืม เดิมทีพี่ตายไปตั้งแต่วันที่ท่านป้ายึดเงินเอาไว้และไม่มีเงินไปหาหมอในเมืองน่ะ”
“แล้วทำไมตอนนั้นท่านพี่ไม่หาหมอในเมืองเลยแล้วจะแบกร่างกายพัง ๆ กลับมาบ้านทำไม ท่านไม่รู้หรือป้าสะใภ้น่ากลัวกว่าพวกปลิงอีก”
“ตอนแรกพี่ก็ถูกส่งไปที่โรงหมอแต่บังเอิญว่าวันนั้นท่านป้าเข้าเมืองพอดีเลยเจอพี่ที่กำลังจะไปที่โรงหมอ ป้าสะใภ้บอกกับคนที่พาพี่มาว่า นางเป็นป้าสะใภ้ของพี่ เรื่องต่อไปนางจะจัดการเอง จากนั้นนางก็เช่าเกวียนพาพี่กลับบ้านและยึดเงินเอาไว้ทั้งหมด กลางดึกพี่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงได้สิ้นใจไปทั้งที่ใจพี่ไม่ยินยอม”
“แล้วท่านพี่ฟื้นขึ้นมาได้ยังไง หรือท่านพี่เป็นวิญญาณดวงอื่นมาสิงสู่ร่างของสามีข้า”
“ใจเย็น ๆ เป็นพี่เองหลังจากพี่ตายไปด้วยใจไม่ยินยอมไหนจะเป็นห่วงเจ้าและลูก ๆ ท่านเทพคงได้ยินคำอ้อนวอนของพี่จึงได้ส่งพี่กลับมาอีก ทั้งท่านบอกพี่ว่า ภรรยาของเจ้าเองก็กำลังจะกลับมาภพภูมิของตัวเอง ท่านบอกมาแบบนี้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ล่ะ แต่พี่กลัวว่าบอกกับท่านพ่อท่านแม่แล้วท่านจะเสียใจตกใจและโทษตัวเองพี่เลยไม่กล้าบอกน่ะ”
“เฮ้อ ข้าเองก็ไม่ต่างกันหรอกเพียงแต่ท่านเทพทำผิดกับข้า ทำให้ข้าตายก่อนวัยอันควรข้าเลยได้ของแถมมานิดหน่อย ข้าเองก็เหนื่อยและอึดอัด ที่เก็บความลับนี้เอาไว้ ข้ากะว่าจะบอกความจริงกับทุกคนหลังบ้านของ พวกเราสร้างเสร็จแล้ว”
“ตอนนี้เจ้าสบายใจแล้วนะ พี่เองก็สบายใจอย่างน้อย ๆ พี่ก็ได้กลับมาอยู่กับทุกคนอีกครั้ง”
“ข้าเองก็เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าข้าจะแตกต่างแต่ข้าย่อมเป็นข้า ไม่ว่าข้าในเมื่อก่อนหรือตอนนี้”
“เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เมื่อก่อนเจ้าได้แต่อดทนก้มหน้า หากตอนนั้นเจ้ากล้าหาญเหมือนตอนนี้ พี่คิดว่าเจ้ากับท่านแม่และน้อง ๆ จะไม่ลำบากเวลาที่พี่ไม่อยู่”
“เพราะสองคนนั่นผลักข้าตกเขาทำให้ข้าฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าต่อไปนี้ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกข้าได้อีกเจ้าค่ะ”
“รีบเดินกันเถอะ แต่ว่าหลินเอ๋อร์จะเข้าไปลึกจริง ๆ น่ะหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ ไม่เข้าป่าลึกแล้วจะล่าสัตว์ใหญ่ได้เช่นไร อย่าลืมว่า ท่านพี่สัญญากับลูกเอาไว้ว่ายังไงนะเจ้าคะ”
“ได้ ๆ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนมุ่งหน้าเข้าป่าลึกระหว่างทางทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับการวางแผนในอนาคตของคนตระกูลหยางแห่งบ้านป่าหมอกนี้ โดยที่พวกเขา จะยึดอาชีพเข้าป่าล่าสัตว์และเพาะปลูก
เมื่อเดินเข้าป่าลึกมาเรื่อย ๆ และหมอกเริ่มหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกันแต่พวกเขาไม่กลัวว่าจะหลงทางเพราะเสี่ยวหลงนั้นมาด้วยระหว่างทางนางได้พบเจอสมุนไพรมากมาย นางเก็บเพียงแค่ต้นที่มีอายุเยอะ ๆ แล้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือเมื่อมันถึงเวลาเก็บเกี่ยวนางถึงจะเข้ามาเก็บพวกมันออกไปขายหาเงินเข้าบ้านในตอนที่ผักในบ้านยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้
